วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สรุปพุทธประวัติ

การผจญมาร
ความเป็นมา

        ในวันที่พระพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะทรงตรัสรู้นั้น ได้ประทับนั่งบนบัลลังก์หญ้าคา ที่โสตถิยะพราหมณ์ถวายใต้ต้นมหาโพธิ์นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า “แม้เลือดเนื้อในสรีระทั้งสิ้นจะเหือดแห้งไป เหลือแต่เอ็นกระดูกเท่านั้นก็ตามที เรายังไม่บรรลุสัมธิญาณ ก็จะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งนี้” ดังนี้ ต่อจากนั้นจึงได้ประทับนั่งและทรงเริ่มบำเพ็ญเพียรทางจิต

         ขณะนั้นเป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน จอมมารที่ชื่อว่า สวัดคี ที่คอยขัดขวางการทำความดีของพระองค์ตลอดมาเมื่อทราบว่าพระดำริปณิธานอันแน่วแน่ของพระองค์เช่นนั้น ก็เกิดหวั่นเกรงว่า หากปล่อยให้บรรลุความสำเร็จตามปณิธานแล้ว พระองค์ก็จะพ้นอำนาจของตนไป จึงได้ระดมพลเสนามารทั้งหลายมาผจญเพื่อขับไล่ด้วยวิธีที่น่ากลัวต่างๆเช่น บันดาลให้พายุพัดรุนแรง บันดาลฝนให้ตกหนัก บันดาลให้ปรากฏเป็นอาวุธต่างระดมยิงเข้าไปเพื่อให้ตกต้องพระองค์แต่ว่าพระองค์ได้ทรงระลึกถึงความดีที่ได้ทรงบำเพ็ญมา ที่เรียกว่า พระบารมี 10 ประการ จึงทรงมีพระทัยมั่นคง ไม่หวาดกลัวต่ออำนาจมารที่มาแสดงด้วยประการต่างๆ นั้นและยิ่งกว่านั้น กลับกลายเป็นเครื่องสักการบูชาพระองค์ไปหมดสิ้นพญามารได้แสดงทุรวาจาให้พระองค์ลุกหนีออกไปเสีย โดยแสดงว่าบัลลังก์ที่ประทับนั้นเป็นของพญามารเอง เพราะพญามารก็ได้บำเพ็ญบารมีต่างๆมามากมายโดยอ้างเสนามารทั้งหลายเป็นพยาน เสนามารเหล่านั้นก็ร้องกึกก้องสนับสนุนเป็นเสียงเดียวกันในเวลานั้นพระโพธิสัตว์ไม่มีเสนาหรือใครอื่นที่จะอ้างมาเป็นพยาน จึงได้ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาชี้ลงไปที่แม่พระธรณีเป็นพยานเพระได้ทรงบำเพ็ญทานต่างๆเป็นอันมากและในการให้ทานทุกครั้งก็ได้ทรงหลั่งทักษิโณทก(หยาดน้ำ)ลงบนที่แผ่นดินซึ่งโดย บุคลาธิฏฐานก็เหมือนดังตนลงไปบนมวยผมของแม่พระธรณี เพราะฉะนั้นแม่พระธรณีจึงเท่ากับเป็นพยานในการทรงบริจาคทาน จึงได้ปรากฏเป็นนางธรณีบีบมวยผม ซึ่งชุ่มด้วยน้ำหลั่งออกมามากมายกลายเป็นทะเลหลวง ท่วมพญามารและเสนาทั้งหลาย ช้างคีรีเมขลาซึ่งพญามารบัญชาการอยู่นั้นก็ฟุบเท้าหน้าทั้งสองลงเป็นการถวายนมัสการพระพุทธองค์ พญามารพร้อมทั้งเสนามารจึงแตกพ่ายถูกน้ำพัดพาไปหมดสิ้นจึงเป็นอันได้ทรงชนะมารก่อนพระอาทิตย์อัสดง และก็พอดีเป็นเวลาพบค่ำ จึงได้เริ่มบำเพ็ญความเพียรต่อไปและก็ได้บรรลุญาณทั้ง 3 ตามลำดับคือในปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ความหยั่งรู้ในชาติภพก่อนๆกล่าวคือ ทรงระลึกชาติได้ในมัชฌิมยาม ทรงบรรลุจุตูปปาตณญาณ รู้จักกำหนดจุติและเกิด

          ในปัจฉิมยาม ได้ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ คือ ญาณเป็นเหตุทำอาสวะให้หมดสิ้นไป โดยได้ตรัสรู้ อริยสัจ 4เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ก็ยังประทับเสวยวิมุตติสุขที่โคนต้นมหาโพธิ์นั้นเป็นเวลา 7 วัน และสถานที่อื่นๆอีก แห่งละ 7 วัน และโดยเฉพาะเมื่อประทับเสวยวิมุติสุขที่โคนต้นไม้อชปาลนิโครธ มีเรื่องเล่าว่า พญามารมีความเศร้าโศกเสียใจที่ไม่สามารถเอาชนะพระพุทธเจ้าได้ จึงนั่งเป็นทุกข์อยู่ ธิดามารทั้ง 3 นางคือ นางตัณหา นางราคา และนางอรดี จึงได้มาอาสาที่จะนำพระพุทธเจ้ามาอยู่ในอำนาจให้ได้ แล้วก็เข้าไปที่โคนต้นอชปาลนิโครธที่ประทับ ทั้ง 3 นาง โดยแสดงเป็นสตรีเพศอยู่ในวัยต่างๆโดยคิดว่าบุรุษเพศย่อมชอบ ย่อมมีรสนิยมในสตรีเพศต่างวัยกัน จึงได้มาแสดงเป็นสตรีเพศวัยรุ่นบ้าง วัยกลางคนบ้าง เป็นวัยแม่ลูกอ่อนบ้าง หมายมั่นที่จะให้พระองค์พอพระทัย แต่พระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดงพระวาจาประกาศความเป็นผู้สิ้นกิเลส ไม่ข้องแวะด้วยตัณหา ราคะและอรดี ทั้งมวลไม่ทรงสนพระทัยแม้แต่น้อยธิดามารทั้ง 3 ก็พ่ายแพ้ไปอีก จึงเป็นอันพระองค์ทรงชนะมารโดยเด็ดขาด

บทวิเคราะห์

       คำว่า “มาร” ในพระพุทธศาสนา หมายถึง สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากคุณความดี สิ่งที่ล้างผลาญคุณความดีหรือเป็นผู้กำจัด ขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุผลสำเร็จอันดีงาม ประกอบด้วย

1. กิเลสมาร หมายถึง การที่ยั่วยุให้คิดในกามคุณ ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ซึ่งมีได้ทั้งด้านที่จิตใจไปคิดในกามคุณ และการตกแต่งวัตถุเนื้อหนังให้สวยงามจนเกิดความหลงติดใจ

2. ขันธมาร หมายถึง หมายถึง มารคือขันธ์ 5 เป็นความหลงในสภาพที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เช่น หลงตนเอง หรือการไปทำศัลยกรรมตกแต่งร่างกายตนเอง ทำให้ตัดโอกาสมิให้บุคคลทำกิจหน้าที่บำเพ็ญคุณความดีได้เต็มปรารถนา หรืออาจพลาดโอกาสนั้นโดยสิ้นเชิง

3. อภิสังขารมาร หมายถึง มารที่ขัดขวางมิให้หลุดพ้นจากสังสารวัฎ มีเจตนาชั่ว

4. เทวปุตตมาร หมายถึง มารคือเทพบุตร คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้ มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักนำให้ห่วงพะวงในกามสุข ไม่อาจหายเสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดีที่ยิ่งใหญ่

5. มัจจุมาร หมายถึง มารคือ ความตาย เพราะความตายเป็นตัวการตัดโอกาสที่จำให้ทำความดีงามทั้งหลายได้ มารมีวิธีปฏิบัติการสำคัญ 2 อย่าง ได้แก่ การล่อลวงและการจองจำเป้าหมายก็คือ การล่อลวงหรือจองจำจิตวิญาณของมนุษย์ให้ลุ่มหลงมัวเมา ตกเป็นทาสของมารในที่สุด

          ดังนั้น มารที่พระพุทธองค์ได้พบ สามารถวิเคราะห์ได้ว่า เกิดขึ้นมาจากมารทั้ง 4 ข้อแรก คือ กิเลสมาร ขันธมารอภิสังขารมารและ
เทวปุตตมาร แต่มารที่ทำ หน้าที่เด่นที่สุด คือ กิเลสมารที่เกิดขึ้นในพระทัยของพระองค์ ซึ่งจะเป็นตัวขัดขวางมิให้พระองค์ตรัสรู้ได้ อันได้แก่ การต่อสู้ทางความคิดของพระองค์ระหว่างกิเลสกับธรรมะด้านหนึ่งมุ่งบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกด้านหนึ่งยังคิดถึงความสะดวกสบายในอดีตกาลและความทุกข์ทรมานในการบำเพ็ญเพียร กิเลสมารทั้ง 2 ด้าน คือ ด้านที่เป็นอารมณ์น่าปรารถนา (อิฎฐารมณ์)ได้แก่ความยินดีความลุ่มหลงเพลิดเพลินอยู่กับความสุขสบายในขณะที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นต้น อีกด้านหนึ่งคืออารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา(อนิฎฐารมณ์) ได้แก่ ความไม่สบายใจ ความขัดเคืองใจ ความย่อท้อ ความทุกข์ยากลำบากในการบำเพ็ญเพียรมาต่างๆ

         นอกจากนั้นพระองค์ต้องเผชิญกับกิเลสมารจากธิดามารทั้ง 3 คือ นางราคา(มีลักษณะยั่วยวน) นางตัณหา(มีลักษณะสาวพราวเสน่ห์)และนางอรดี(มีลักษณะสาวอารมณ์ร้อน) ดังนั้นจะเห็นว่าพระองค์จะต้องต่อสู้กับจิตใจของพระองค์เองในการให้วิธีปฏิบัติการของมารจากการล่อลวง ไม่หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง

 
 

             ดังนั้นการชนะมารของพระองค์เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือชัยชนะที่มีต่อความคิดของตนเองจนถึงขั้นหลุดพ้น เป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวงและบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณในที่สุดพระพุทธองค์แสดงเป็นตัวอย่างได้เห็นว่า “มนุษย์สามารถเอาชนะกิเลสที่เกิดขึ้นในใจของตนได้”ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่
  พระสิทธัตถะ ได้เสด็จอยู่ตามลำพังทรงฝึกฝนอบรมจิตใจให้สงบ และในเช้ากลางเดือน 6 ทรงรับข้าว “มธุปายาส” จากนางสุชาดา ซึ่งเข้าใจว่าพระองค์ว่าเป็นเทพยดาจึงนำข้าวมธุปายาสไปถวาย หลังจากเสวยแล้ว พระองค์ได้ทรงลอยถาดในแม่น้ำ เนรัญชรา ทรงรับหญ้าคา 8 กำ จากนายโสตถิยะมาปูลาดเป็นอาสนะ (ที่นั่ง) ณ โคนต้นโพธิ์ ประทับนั่งขัดสมาธิผินพระพักตร์ไปทางทิศทางตะวันออก แล้วทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า ถ้าไม่สำเร็จทางพ้นทุกข์จะไม่ ยอมเสด็จลุกไปไหนถึงแม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งก็ตาม ทรงพิจารณาความเป็นไปของธรรมชาติทั้งหลายจนเกิดญาณ(การหยั่งรู้สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง) สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้เรียกว่า อริยสัจฺ (ความจริงอันประเสริฐ) 4 ประการ คือ

1) ทุกข์ ความทุกข์ หรือปัญหาของชีวิตทั้งหมด
2) สมุทัย สาเหตุของทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหาชีวิต
3) นิโรธ ความดับทุกข์ หรือภาวะหมดปัญหา
4) มรรค ทางดับทุกข์หรือแนวทางแก้ปัญหาชีวิต


การตรัสรู้
 พระสิทธัตถะ ได้ตรัสรู้พระพุทธเจ้า เมื่อยำรุ่งของคืนวันเพ็ญ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ขณะที่พระองค์มีพระชนมายุได้ 35 พรรษาหลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงพักผ่อนเป็นเวลา 7 สัปดาห์ แล้ว เสด็จไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทรงคิดถึงพระอาจารย์ทั้งสอง คืออาฬรดาบส และอุทกดาบส แต่ท่านทั้งสองได้สิ้นชีพแล้ว จึงเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสีพระธรรมเทศนาที่พระองค์แสดงครั้งแรกเรียกว่า ปฐมเทศนา พระธรรมที่ทรงแสดงเรียกว่า ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร หลังจากฟังพระธรรมเทศนา โกณทัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมจึงทูลขอบวช นับว่าเป็นพระสงฆ์องค์แรกในโลก ต่อจากนั้นทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดอีก 4 ท่าน จนเกิดความเข้าใจธรรมและทูลขอบวชตามลำดับ และทั้ง 5 ท่าน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

บทวิเคราะห์

         พระพุทธศาสนา คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และคำสั่งสอนนี้ ถ้าจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของความจริงที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติเป็นแต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาชี้แจงเปิดเผยพระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าสภาพธรรมหรือทำนองคลองธรรม เป็นของมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นหรือไม่ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้สภาพธรรมนั้นๆแล้วนำมาบอกเล่าให้เข้าใจชัดขึ้นความจริงหรือสัจจธรรมที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาตินี้จึงเป็นของกลางสำหรับทุกคนและมิใช่สิ่งที่ประดิษฐหรือคิดขึ้นตามอารมณ์เพ้อฝันพระพุทธเจ้าตรัสว่า ตราบใดที่พระองค์ยังมิได้ตรัสรู้ความจริงในลักษณะ 3 อย่าง คือ รู้ตัวความจริง รู้หน้าที่อันควรทำเกี่ยวกับความจริงนั้น และรู้ว่าได้ทำหน้าที่สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ตราบนั้นพระองค์ก็ยังไม่อาจกล่าวได้ว่าตรัสรู้แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความจริงนั้นพระองค์ก็ได้ทรงลงมือปฎิบัติจนค้นพบประจักษ์แล้ว พระองค์จึงได้นำมาสั่งสอนสัจจธรรมหรือความจริงที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น ได้แก่ ทรงรู้แจ้งหรือรู้อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 อย่าง ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ซึ่งอธิบายได้ดังนี้

1) ทุกขคือ ความทุกข์ ,สภาพที่ทนได้ยาก,สภาวะที่บีบคั้น ขัดแย้ง บกพร่อง ขาดแก่นสารและความเที่ยงแท้ ไม่ให้ความพึงพอใจแท้จริง ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความปรารถนาไม่สมหวังหรือปัญหาของชีวิตทั้งหมด

2) สมุทัย คือ สาเหตุของทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 หรือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา หรือสาเหตุของปัญหาชีวิต

3) นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป ภาวะที่เข้าถึงเมื่อกำจัดอวิชชา หมดสิ้นตัณหาแล้วไม่ติดข้อง หลุดพ้น สงบ ปลอดโปร่ง เป็นอิสระ คือนิพพาน หรือภาวะหมดปัญหา

4) มรรค คือ ทางดับทุกข์ ข้อปฎิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มัชณิมปฎิปทา แปลว่า ทางสายกลาง คือมรรคมีองค์ 8 ได้แก่ สัมมาทิฎฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ สัมมาวาจา เจรจาชอบ สัมมากัมมันตะ การงานชอบ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ สัมมาวายามะ พยายามชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ และสัมมาสมาธิ ตั้งจิตชอบ หรือแนวทางแก้ปัญหาชีวิตกรณี พิณ3 สาย เป็นสัญลักษณ์ของการมุ่งสู่”มัชฌิมาปฏิปทา คือทางสายกลาง”ของพระพุทธองค์ กล่าวคือ เมื่อพระพุทธองค์ได้บำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่นั้นถือว่าเป็นการทรมานตนเอง เป็นการปฏิบัติที่เคร่งครัดเกินไปในลักษณะ”สุดโต่ง”นั่นคือ หากสายพิณตึงเกินไป หรือหย่อนยานเกินไป เสียงก็ไม่ไพเราะ น่าฟัง หากสายพิณตึงพอดี พอดีดเข้าไปก็บังเกิดเสียงไพเราะน่าฟัง พระพุทธองค์จึงทรงเห็นว่า การดำเนินทางสายกลางเท่านั้นจึงเป็นหนทางสู่ความพ้นทุกข์ได้ ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่า การดำเนินกิจกรรมใดๆก็ตามควรทำอะไรที่สุดโต่งเกินไป เช่น ไม่หักโหมทำการงานมากเกินไป ควรมีเวลาพักผ่อนบ้าง หรือไม่ปล่อยตัวตามสบายเกินไป จนไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ควรทำแต่พอดี มีการวางแผนแบ่งเวลาให้เหมาะสม เป็นต้น


การสั่งสอน

      การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือ การรู้แจ้งความจริงอันประเสริฐ 4 ประการนี้ซึ่งมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ฉะนั้นคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้าที่เรียกว่า พระพุทธศาสนา จึงเป็นหลักคำสอนที่เกี่ยวกับความจริงที่มีเหตุผลสมบูรณ์ถูกต้อง และสามารถนำมาประพฤติปฏิบัติ และได้รับผลด้วยตนเอง พิสูจน์ได้ ไม่จำกัดกาลเวลา ฉะนั้นในพระพุทธศาสนาจึงไม่มีคำสอนชนิดที่เรียกว่า ”เดา” หรือ ”สันนิษฐาน” หรือ ”คาดคะเน (สมมุติฐาน)” ว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องเป็นความจริงที่ได้ค้นคว้าประจักษ์แจ้งแล้วจึงใช้ได้
พระพุทธเจ้ามีหลักการสอนดังนี้

1. ทรงคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเน้นความแตกต่างด้านสติปัญญา กล่าวถึงวิธีการสอนแต่ละบุคคลไว้อย่างชัดเจนและเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจน ด้วยดอกบัว 4 เหล่า ดังนี้

1.1 อุคฆปฏิตัญญู ได้แก่ ผู้มีปัญญาฉลาดเฉียบแหลม(abnormal)เพียงแค่ยกหัวข้อขึ้นแสดงก็สมารถรู้และเข้าใจได้ทันทีเปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่เหนือน้ำรอคอยแสงอาทิตย์พออาทิตย์ฉายแสง ก็เบ่งบานได้ทันที

1.2 วิปจิตัญญู ได้แก่ ผู้มีปัญญาอยู่ในระดับปานกลาง(normal)ต้องอธิบาย ขยายความแห่งข้อนั้นๆแล้ว จึงจะสามารถรู้และเข้าใจได้เปรียบเหมือนดอกบัวที่อยู่เสมอผิวน้ำจะบานในพรุ่งนี้

1.3 เนยยะ ได้แก่ ผู้ที่พอจะแนะนำได้(borderline) คือพอจะฝึกสอนอบรมให้รู้และเข้าใจได้อยู่และจะต้องยกตัวอย่างประกอบให้ชัดเจนเปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังโผล่ไม่พ้นน้ำ ซึ่งจักบานในวันต่อๆไป

1.4 ปทปรมะ ได้แก่ผู้ด้อยปัญญา (mentally defective)สอนให้รู้ได้แต่เพียงพบคือ พยัญชนะหรือถ้อยคำ แต่ไม่อาจเข้าใจความหมายได้เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังจมอยู่ในน้ำ โคลนตม ซึ่งย่อมเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า

2. สอนโดยคำนึงถึงเนื้อหาที่สอน เช่น

2.1 สอนจากเนื้อหาที่ง่ายไปสู่เนื้อหาที่ยาก โดยเรียงลำดับเนื้อหาให้เข้าใจอย่างชัดเจนตามลำดับ เช่น การสอนอริยสัจ 4 คือ (1)ทุกข์ (2) เหตุแห่งทุกข์(3)ความดับทุกข์ (4)หนทางปฎิบัติให้ถึงความดับทุกข์

2.2 สอนด้วยวิธีการปฏิบัติ เช่น สอนวิธีการปฏิบัติสมถะวิปัสสนากัมมัฏฐานฐาน สอนวัตรปฏิบัติของพระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น

2.3 สอนให้มีเหตุมีผล ไม่เชื่อง่าย เช่น หลักการสอนในกาลามสูตร 10 ประการ หรือสอนให้เข้าใจถึงกฎธรรมชาติที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย เช่น อิทัปปัจจยตา หรือไตรลักษณ์

2.4 สอนให้รู้ให้เข้าใจถึงองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ในลักษณะองค์รวม (Holistic) เช่น หลักของขันธ์ 5 มนุษย์ประกอบด้วย นาม รูป (รูป+นาม)

2.5 สอนให้รู้จักประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในทางสายกลาง ไม่สุดโต่งในด้านใดด้านหนึ่ง เรียกว่า มัชฌิมปฏิปทา เช่นปฏิบัติตามอริยมรรค 8

3. สอนโดยคำนึงถึงลักษณะการสอน เช่น

3.1 สอนโดยการยอตัวอย่างประกอบการสอน เช่น ยกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ปางก่อนที่เรียกว่า ชาดก ประกอบการสอนให้เข้าใจง่ายขึ้น

3.2 สอนโดยการสร้างบรรยากาศในการสอนให้ปลอดโปร่ง เพลิดเพลิน ไม่ตึงเครียด สอนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายๆผู้ฟังจึงเข้าใจง่ายๆผู้ฟังจึงเข้าใจง่าย

3.3 สอนได้ทุกสถานการณ์ ทุกสถานที่ และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ เช่น สอนตามต้นไม้ สอนองคุลีมาร

3.4 สอนแบบรู้แจ้ง จนผู้ที่ได้สดับฟังสามารถบรรลุพระอรหันต์ได้ เช่น สอนนางกีสาโคตรมี โดยให้สืบหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเพื่อเป็นส่วนประกอบของยาชุบชีวิตบุตร จนนางกีสาโคตรมีบรรลุถึงสัจธรรมของความตาย เป็นต้น

3.5 สอนโดยใช้ภาษาสุภาพ นุ่นนวล เหมาะสม เช่น สอนคนไม่ดีด้วย ความดี สอนคนโกรธด้วยความไม่โกธร เป็นต้น

1 ความคิดเห็น:

  1. The Perfect Casino: Top Offers & Bonuses at
    The septcasino Best 토토 Casino Offers. Casino 1xbet login Bonuses & Promotions. jancasino.com With an emphasis on casino games, the gambling industry is expected to explode herzamanindir.com/

    ตอบลบ